ออกไอเดีย
ผ้าใบวาดรูปเปล่า ๆ มันดูจะน่ากลัว แล้วเราควรจะเริ่มกับมันยังงัย เรามีวิธีแนะนำที่จะให้อยู่จับความคิดใส่ลงไป
1.ใส่ภาพเล็กที่มีความละเอียดน้อยลงไปก่อน เมื่อจะใช้ภาพในให้ใส่ภาพที่มีความละเอียดสูงเข้าไป 2.การเปรียบเทียบ เชิงอุปมาอุปมัยว่า
หัวข้อ และการอุปมาอุปมัยสิ่งที่ดีสำหรับไอเดียและฉันก้อพยายามที่จาพัฒนาไอเดีย จากการมองแบบประสบการณ์หรือสิ่งใกล้ตัว
อีกทั้งมุมองของการออกแบบ อย่างการจัดระบบสีและรูปแบบของโครงสร้าง ถ้าคุณเจอเข้ากับหัวข้อที่เหมาะกับคุณนั้นคือโอกาสของคุณเลย
3.จากคำสู่ภาพ
เมื่อฉันได้รับมอบหมายหน้าที่ สิ่งแรกหน้าที่ฉันจะทำคือการอ่านมันและขีดเส้นใต้วลีที่สำคัญ แล้วก้อจาวาดรูปเล็ก ๆ ประกอบลงไปเพื่อหา
เอกลักษณ์หรือหาประเด็นของเนื้อหาของมัน
4.ฉันจะแนะนำการดำเนินงานด้านแบรน ก็เหมือนการออกแบบสมาคมธุรกิจ ความคิดแบรนนั้นสำคัญ มันเป็นกำลังใจให้คุณพัฒนา
ไอเดียให้มองเห็นภาพได้ชัดมากขึ้นหรือช่วยพัฒนาในการหาจุดเล็ก ๆ ที่มันซ่อนอยู่ในไอเดียของคุณและทำให้มันง่าย เพราะถ้าทำให้
ซับซ้อนเกินไปเราก้อจะไม่สามารถทำงานได้
5.เมื่อระดมความคิดแล้วสรุปให้สั้น เมื่อมีไอเดียแล้ว มันจำเป็นที่จะย่อให้สั้นและกระทัดรัดเมื่อแวดล้อมไปด้วยเพื่อนร่วมงาน แต่ความลับ
คือเก็บความคิดแต่ละคนจดไว้ถ้าเป็นไปได้ ประชุมกันเยอะ ๆ ดีกว่าที่จะมานั่งคนเดียว
6.ใช้สมุดสเก็ต โดยปกติแล้วฉันจาเขียนไอเดียหรือวางแผนในสมุดเอสี่ ที่ฉันนำติดไว้ด้วยตลอดเวลา ทุกไอเดียจาอยู่ในนั้นและไอเดียเหล่านั้น
ก้อจาถูกนำมาใช้
7.หนีห่างจากหน้าคอม
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการนั่งอยู่หน้ากระดาษวาดภาพเปล่า ๆ บนหน้าจอ เดินออกไปจากเก้าอี้และใช้เวลาสัก สิบนาทีสูดอากาศสดชื่น
8.เข้ารวมอภิปรายปัญหา
ถ้ามีเพื่อนเป็นนักออกแบบ เป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว ให้ลองพูดคุยหรือถกปัญหาเกี่ยวกับงานศิลปะดู มันจาทำให้ไอเดียโลดแล่นมากขึ้น
9.อาบน้ำ
ฉันคิดไอเดียได้มากเวลาอาบน้ำ ไอเดียดี ๆ มักจะออกมาพร้อมกับฟักบัวเสมอ
10.นำงานของคุณเก็บเข้าบัญชีไว้เพราะคุณอาจจาต้องการมันมันใช้ในงานของคุณและมันอาจจะสำคัญมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น
ภาพถ่าย ภาพ งานทรีดี หรือชาร์ต หรือ ไดอแกรม ก็ตาม
การฝึกฝนคือสิ่งที่ดีที่สุด
11.เก็บไว้ใน library
เมื่อทำงานด้วยไฟล์แฟลต ฉันจาให้ความสนใจกับเลเยอร์แล้วก้อเรื่องของซิมโบ และทุกครั้งฉันจาเก็บงานไว้ใน library ที่จาเก็บ
timers, loopers, buttons, code snippets and symbolsฉันใช้มันทุกครั้ง และทำให้งานเสร็ดได้ไหวขึ้น
12 WEB STANDARDS
เมื่อออกแบบเว็บไซด์ คุณสามารถ save load จาก Firefox เช่น พัฒนาเว็บ HTML Validator and Fangs
จะช่วยประหยัดเวลาได้มากขึ้น
13.มั่นเข้าเว็บบ้าง เช่น pixelsurgeon.com หรือ designiskinky.com และก้ออ่าน Computer Arts อย่าเพียงแต่ดูงานของคนอื่น
คุณควรรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหรือก้าวให้ทันทางด้านซอฟแวร์ อย่าทำตัวล้าหลังเหมือนที่นักออกแบบคนอื่นทำกัน และอย่าทำเพียง
แค่ตามกระแส 14.ทำให้ง่ายเข้าไว้
ทำงานให้ง้ายเข้าไว้ และไม่ซับซ้อน
15.บันทึกสิ่งที่ทำ
ถ้าใช้ Photoshop บ่อย ๆ มันจำเป็นมากที่บันทึกสิ่งที่เราทำไว้ ฉันแค่เรียนรู้เทคนิดอันนี้มันทำให้ประหยัดเวลาได้มากเลยทีเดียว
16.เชฟแล้วก้อเซฟ เซฟ
เชฟงานเสมอทุกครั้งที่กำลังทำถ้าเป็นไปได้ 17.ให้ลูกค้าเปลี่ยน ขนาดหรือฟอลแมตในครั้งสุดท้าย และอย่า flatten layers ใน
Photoshop จนกว่างานจะเสร็จ
18.ไม่มีการเรียกร้องโดยไม่รับการอนุญาติจากหัวหน้า
19.ถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก การเจอปัญหากับลูกค้าที่ไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับนักออกแบบเว็บต้องค่อนข้างมีความ
แน่นอนทางด้านกระบวนการ ถึงแม้ว่างานนั้นจะลำบากแค่ไหน คุณต้องทำงานให้ถูกตั้งแต่ครั้งแรกแล้วคุณจะมั่นใจได้ว่าจะได้รับ
งานจากลูกค้าคนเดิม20.ฝึกไว้ให้สมบูรณ์แบบ งานที่มากก้อต้องใช้เวลากับโปรแกรมมากมันจะทำให้คุณเณ้วขึ้นและมีประสิทธิภาพ
มากขึ้นคุณไม่ได้เพียงเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดและมันจาช่วยให้งานมีคุณภาพมากขึ้น
ทักษะทางด้านซอฟแวร์
คนทำงานที่ไม่ดีจะโทษเครื่องมือของเค้า ต้องแน่ใจว่าซอฟแวร์ของคุณทำงานให้ตุณและไม่ได้ต่อต้านคุณ
21.ฝึกใช้ ALPHA CHANNELS ใน PHOTOSHOP 22.ซื้อแรมเพิ่มให้มากที่สุดถ้าเป็นไปได้ เพราะการทำทำงานต้องใช้แรมจำนวนมาก
ตั้งแต่งานเล็กจนถึงงานช้าง
23. .ฝึกใช้ GRADIENTS ใน PHOTOSHOP
24.แยกเลเยอร์ให้เยอะ เกิดความผิดพลาดจะได้แก้ง่าย ๆ
25 ปรับ Opacity ให้น้อยลง และเพิ่ม Gaussian Blur แล้วรวมเข้าด้วย Clipping Mask ใน Illustrator จะได้ airbrush ที่ใน PHOTOSHOP ทำไม่ได้
26.อย่าใช้ GRADIENTS สีดำไล่ไปสีเขียวใน flash เพราะมันดูน่าเกลียด
28.ใช้เทคนิค vector image แทน Layer Group colours และ Shy Layers
29.การใช้ filters หรือ effects เฉย ๆ อาจจะดูง่ายไป ลองใช้ filters หรือ effects ดูแล้วปรับเปลี่ยนให้ดูแปลกตาไม่เหมือนใครมากขึ้น
30.คิดบนกระดาษ ให้คิดไอเดียแล้วเขียนลงบนกระดาษ แล้วสแกนออกมาแล้ว เทคนิคของฉันที่คิดด้วยปากกาและกระดาษเป็นอย่างแรก แล้วถึงใช้คอมพิวเตอร์
มันจะช่วยให้งานมีน้ำหนักมากขึ้น
งานและกลเม็ด ‘put the cherry on top’
สายตาคุณเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะตรวจสอบงานและรายละเอียด และระหว่างชิ้นงานที่ดีและดีเยี่ยม คุณจะเรียนรู้อย่างไรที่จะเก็บผลงานที่ดีเยี่ยม
31.เดินออกไป ฉันดูว่างานฉันมันเสร็จสมบูรณ์แล้วและฉันก้อจากมันไปทั้งวันถ้าฉันทำได้ บางครั้งเวลามันก้อทำให้บางสิ่งมันเสร็จสมบูรณ์เอง
แล้วฉันจะเห็นข้อผิดพลาดของงานแล้วจะกลับไปแก้อีกครั้ง
32. ACROBATICS ตรวจงานให้ละเอียดทุกครั้งใน Adobe Acrobat Professional
33.ลองให้คนอื่นดูงานของเราเพราะบางทีสายตาของเค้าอาจจะเห็นได้ละเอียดกว่าเรา
34.กลับไปดูสิ่งที่เราจดไว้กับสิ่งที่เราคิด ตรวจว่าเราพบอะไรอยู่ในงานที่สำเร็จ
35.พอคือพอ
มันสำคัญมากเมื่อรูว่าทำเสร็จ แล้วเมื่อไหร่ควรหยุด มันเสี่ยงเกินไปที่จะทำมันไปเรื่อย ๆ
36.การปริ้นงานที่ดีเป็นดีที่ดีเยี่ยม เมื่องานออกมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ มีหลายคนที่ต้องทำงานไม่สำเร็จกับโลกของดิจิตอล
37.เพิ่มพื้นผิว
ฉันใช้ความรู้สึกมาใส่ในงาน พื้นทำให้เรารู้สึกได้และมันทำให้งานออกมาสมบูรณ์มากขึ้น แต่มันเป็นแค่เทคนิคส่วนตัวของฉัน
38.การเตรียมพร้อม เรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องที่จะใช้งานและพยามเรียนรู้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณและงานของคุณ แน่ใจว่างานคุณจะไม่เสียหาย
39.การเพิ่มเงา
การเพิ่มเงาทำให้ดูเป็นวัตถุมากขึ้น และทำให้งานดูดีเป็นเงางาม
40.ตรวจสอบงานว่าถูกต้อง งานที่คิดว่าเสร็จสมบูรณ์แล้วให้ถอยหลังกลับไปดูจนกว่าคุณจะรู้สึกขยาด ตรวจทุกความละเอียดของมัน
ลดหรือเพิ่ม effect บางตัว
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
การเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด 10สิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยงเมื่อทำงานกับลูกค้า
41.อ่านแล้วอ่านอีกเมื่อคุณเขียนอีเมล อย่าได้ใส่ที่อยู่จนกว่าจะแน่ใจจิง ๆ ว่าถูกต้องให้กลับไปอ่านว่าคุณเขียนอะไรลงไปสักสองครั้ง
มีคนจำานวนมากที่กลัวกับการส่งเมลไปใครสักคน กับในสิ่งที่พวกเค้าไม่ต้องการส่งอย่าให้เป็นคุณเลย เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะยกเลิกส่ง
การส่งเมล
42.อย่าไว้ใจให้คอมตรวจคำผิดอย่าไว้ใจให้เครื่องของคุณตรวจคำผิด ทุกครั้งฉันจะตรวจอย่างระมัดระวัง แล้วหาใครสักใครมาตรวจ
อีกครั้ง เพราะว่าคุณอาจจะเป็นญาติห่าง ๆ กับคอมก้อได้
43.การทำงานกับลูกค้าทุกคนรู้ที่จะคิดนอกกล่องความคิด แต่ในวงกลมของความคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่ดีเยี่ยมอย่างแท้จริงมาจากการค้นหา
วิธีแก้ปัญหาข้างในกล่องที่ลูกค้าสร้างขึ้น อย่ามองเพียงแต่ปัญหาภายนอก แต่ต้องมองที่ล่องรอยของปํญหาและแก้มัน คือให้เรามอง
ที่ปัญหาอย่างแท้จริงไม่ใช่แค่ผิวเพิน
44.ให้เราเลือกงานที่จะรับ ให้เราเลี่ยงงานที่เราไม่สามารถทำได้ เลือกงานของลูกค้าเหมือนที่ลูกค้าเลือกคุณ
45.อย่าคิดเอาเองในสิ่งต่าง ๆ
46.แสดงถึงการกระทำของคุณฉันเคยได้ทำงานกันลูกค้าแฟชั่นแบรนประมาณ 2-3 ราย เมื่อไม่นานมานี้ และ พวกเค้าก้อดูเหมือนเป็นลูกค้า
ที่ดีที่สุดในโลก แต่ ฉันคิดว่าถ้าคุณจาเตรียมเหตุผลดี ๆ สำหรับสิ่งที่คุณทำและอาจจาเตรียมวิธีแก้ปัญหาไว้ให้มากๆ เพื่อความต้องการของ
พวกเค้า เพราะคุณจะเป็นฝ่ายที่ควบคุเค้า
47. Design history.ฉันไม่เคยประสบปัญหาอะรัยทั้งนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันทำอยู่เสมอคือการ แบลคอัพ ไฟล์ไว้ เก็บไอเดียต้นฉบับของคุณ
ไว้เพราะคุณอาจจะต้องใช้มัน บางทีคนเราก้ออาจจะเปลี่ยนใจได้ง่าย ๆ พอ ๆ กับเปลี่ยนกลับมาใช้อันเดิม
48. เวลาทำงานกับลูกค้า ให้เราอยู่เหนือความคิด คือเวลาขายงานต้องทำให้เค้ายอมรับเราให้ได้
49.เมื่อทำงานกับลูกค้าใหม่ ๆ ต้องเปลี่ยนมุมมองของตัวเองหรือว่าเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่เกี่ยวข้องในสิ่งที่ทำ
50.เวลาจะตอบโจทย์อะไรสักอย่างให้คำนึงถึงโจทย์นั่น แล้วต้องตอบให้ตรงประเด็น
สนับสนุนโดย http://www.captuscom.com
วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557
อาชีพในฝัน
สาขาอาชีพ
การออกแบบ แบ่งออกเป็นกี่ประเภท และมีอะไรบ้าง
1. การออกแบบทางสถาปัตยกรรม (Architecture Design) เป็นการออกแบบเพื่อ การก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นักออกแบบสาขานี้ เรียกว่า สถาปนิก (Architect) ซึ่ง โดยทั่วไปจะต้องทำงานร่วมกับ วิศวกรและมัณฑนากร โดยสถาปนิก จะรับผิดชอบเกี่ยว กับประโยชน์ใช้สอยและความงามของสิ่งก่อสร้าง งานทางสถาปัตยกรรมได้แก่
- สถาปัตยกรรมทั่วไป เป็นการออกแบบสิ่งก่อสร้างทั่วไป เช่น อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า โบสถ์ วิหาร ฯลฯ – สถาปัตยกรรมโครงสร้าง เป็นการออกแบบเฉพาะโครงสร้างหลักของอาคาร
- สถาปัตยกรรมภายใน เป็นการออกแบบที่ต่อเนื่องจากงานโครงสร้าง ที่เป็นส่วนประกอบของอาคาร
- งานออกแบบภูมิทัศน์ เป็นการออกแบบที่มีบริเวณกว้างขวาง เป็นการจัดบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม
- งานออกแบบผังเมือง เป็นการออกแบบที่มีขนาดใหญ่ และมีองค์ประกอบซับซ้อน ซึ่งประกอบ ไปด้วยกลุ่มอาคารจำนวนมาก ระบบภูมิทัศน์ ระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ
2. การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) เป็นการออกแบบเพื่อการผลิต ผลิตภัณฑ์ ชนิดต่าง ๆงานออกแบบสาขานี้ มีขอบเขตกว้างขวางมากที่สุด และแบ่งออกได้มากมายหลาย ๆ ลักษณะ นักออกแบบรับผิดชอบเกี่ยวกับประโยชน์ใช้สอยและความสวยงามของ ผลิตภัณฑ์ งานออกแบบประเภทนี้ได้แก่
- งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์
– งานออกแบบครุภัณฑ์
– งานออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์
– งานออกแบบเครื่องใช้สอยต่างๆ
– งานออกแบบเครื่องประดับ อัญมณี
– งานออกแบบเครื่องแต่งกาย
– งานออกแบบภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์
– งานออกแบบผลิตเครื่องมือต่าง ๆ ฯลฯ
3. การออกแบบทางวิศวกรรม (Engineering Design) เป็นการออกแบบเพื่อการผลิต ผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน ต้องใช้ ความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีในการผลิตสูง ผู้ออกแบบคือ วิศวกร ซึ่งจะรับผิดชอบ ในเรื่องของประโยชน์ใช้สอย ความปลอดภัยและ กรรมวิธีในการผลิต บางอย่างต้องทำงาน ร่วมกันกับนักออกแบบสาขาต่าง ๆ ด้วย งานอกแบบประเภทนี้ได้แก่
– งานออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้า
– งานออกแบบเครื่องยนต์
– งานออกแบบเครื่องจักรกล
– งานออกแบบเครื่องมือสื่อสาร
– งานออกแบบอุปกณ์อิเลคทรอนิคส์ต่าง ๆ ฯลฯ
4. การออกแบบตกแต่ง (Decorative Design) เป็นการออกแบบเพื่อการตกแต่งสิ่งต่าง ๆให้สวยงามและเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น นักออกแบบเรียนว่า มัณฑนากร (Decorator) ซึ่งมักทำงานร่วมกับสถาปนิก งานออกแบบประเภทนี้ได้แก่
– งานตกแต่งภายใน (Interior Design)
– งานตกแต่งภายนอก (Exterior Design)
– งานจัดสวนและบริเวณ ( Landscape Design)
– งานตกแต่งมุมแสดงสินค้า (Display)
– การจัดนิทรรศการ (Exhibition) – การจัดบอร์ด
– การตกแต่งบนผิวหน้าของสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น ฯลฯ
5. การออกแบบสิ่งพิมพ์ (Graphic Design) กราฟฟิคดีไซน์ เป็นการออกแบบเพื่อทางผลิตงานสิ่งพิมพ์ ชนิดต่าง ๆ ได้แก่
– หนังสือ หนังสือพิมพ์
– โปสเตอร์ – นามบัตร และบัตรต่าง ๆ
– งานพิมพ์ลวดลายผ้า
– งานพิมพ์ภาพลงบนสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ
– งานออกแบบรูปสัญลักษณ์ – เครื่องหมายการค้า ฯลฯ
6. การออกแบบเว็บไซต์ (Website Design) เป็นการออกแบบที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในขณะนี้ เพราะในปัจจุบันเว็บไซต์ต่างมีบทบาทในชีวิตของคนเรามากขึ้น ในทุกๆด้าน โดยเฉพาะด้านธุรกิจ ทำให้คนเราต้องการทำเว็บไซต์ และต้องการคนออกแบบเว็บไซต์ให้เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของเว็บไซต์ โดยจะต้องมีเอกลักษณ์ และสื่อถึงสินค้าและบริการ หรือความเป็นตัวตนของเจ้าของเว็บไซต์ให้มากที่สุด นักออกแบบเว็บไซต์ถูกเรียกว่า Web Designer
หน้าที่
- บันทึกรายละเอียดความต้องการของลูกค้า
– ศึกษาโครงสร้างของงาน จัดดำเนินการออกแบบตกแต่ง คำนวณแบบ ประมาณราคาและเลือกวัสดุตกแต่งที่เหมาะสม
– ส่งแบบที่วาดและเสนองบให้ลูกค้าพิจารณา
– ปฏิบัติงาน และประสานงานกับระบบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- มีความสามารถในการรู้จักประยุกต์ใช้วัสดุที่มีในประเทศ เพื่อแสดงเอกลักษณ์ และประโยชน์ใช้สอยสูงสุด - มีทักษะในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการช่วยวาดรูปหรือออกแบบ
- มีระเบียบวินัย เข้าใจถึงการบริการทางธุรกิจ
- มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ให้ความร่วมมือกับทีมงานดี และมีความสามารถในการประสานงาน
- มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และปรับปรุงความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา
- รู้แหล่งข้อมูลเพื่อซื้อหาวัตถุดิบ
- ออกแบบตกแต่งภายในอาคารบ้านเรือนให้ถูกหลักและตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และเพื่อความปลอดภัย ประหยัดเหมาะสมกับภาวะสังคมและเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน
- มีความคิดสร้างสรรค์ ผลิตผลงานที่ไม่เหมือนใคร เป็นคนมีความละเอียดรอบคอบ
- ใส่ใจในความต้องการของลูกค้าว่าต้องการห้องประเภทไหน
– ศึกษางบประมาณที่ลูกค้าตั้งไว้ให้
– เขียนแบบร่างแสดงภาพแผนผัง (Perspective) โดยใช้มาตราส่วนที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้น แสดงให้เห็น ถนน ทางเท้า ตึกรามบ้านช่อง สะพาน รั้ว ท่อระบายน้ำโสโครก แนะนำชนิดของต้นไม้ ไม้พุ่ม และไม้ดอกให้ปลูกตามที่ต่างๆ ให้เหมาะสมกับลักษณะที่ดินและกลมกลืนกับสถาปัตยกรรมที่มีอยู่แล้ว ร่วมกับสถาปนิก มัฑณากร นำเสนอให้ลูกค้าพิจารณา
– เตรียมรายละเอียดและประมาณการราคา ควบคุมรายละเอียดของแบบแปลน
– ควบคุมการทำงานอย่างใกล้ชิด และต้องออกภาคสนามเพื่อตรวจดูงาน และแก้ไข ให้เป็นไปตามข้อตกลง
– มีความเข้าใจในรายละเอียดด้านวัสดุเป็นอย่างดี
– สามารถประยุกต์ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อการตกแต่งได้อย่างเหมาะสม
– ทำงานใกล้ชิดกับผู้รับเหมาก่อสร้าง รู้วิธีการประสานงาน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
คุณสมบัติของอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. มีคุณวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาตกแต่งภายใน
2. มีความคิดสร้างสรรค์ ผลิตผลงานที่ไม่เหมือนใคร เป็นคนมีความละเอียดรอบคอบ
3. มีความสามารถในการรู้จักประยุกต์ใช้วัสดุที่มีในประเทศ เพื่อแสดงเอกลักษณ์ และประโยชน์ใช้สอยสูงสุด
4. มีทักษะในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการช่วยวาดรูปหรือออกแบบ
5. มีระเบียบวินัย เข้าใจถึงการบริการทางธุรกิจ
6. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ให้ความร่วมมือกับทีมงานดี และมีความสามารถในการประสานงาน
7. มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และปรับปรุงความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา
8. รู้แหล่งข้อมูลเพื่อซื้อหาวัตถุดิบ
9. ออกแบบตกแต่งภายในอาคารบ้านเรือนให้ถูกหลักและตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และเพื่อความปลอดภัย ประหยัดเหมาะสมกับภาวะสังคมและเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้
10. ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ : เมื่อสำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า(สายวิทย์) สอบคัดเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยที่จัดสอนคณะหรือภาควิชาสถาปัตยกรรม ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัย อาจไม่เหมือนกัน
รายได้ขั้นต่ำของอาชีพต่อเดือน
มัณฑนากรที่รับราชการจะได้รับเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา ถ้าทำงานกับภาคเอกชนจะได้รับเงินเดือนขั้นต้นอยู่ระหว่าง 15,000 – 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับฝีมือและประสบการณ์ในการฝึกงานขณะที่กำลังศึกษาอยู่ และได้รับสวัสดิการตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด และสิทธิประโยชน์อื่น เช่น โบนัส
การออกแบบ แบ่งออกเป็นกี่ประเภท และมีอะไรบ้าง
1. การออกแบบทางสถาปัตยกรรม (Architecture Design) เป็นการออกแบบเพื่อ การก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นักออกแบบสาขานี้ เรียกว่า สถาปนิก (Architect) ซึ่ง โดยทั่วไปจะต้องทำงานร่วมกับ วิศวกรและมัณฑนากร โดยสถาปนิก จะรับผิดชอบเกี่ยว กับประโยชน์ใช้สอยและความงามของสิ่งก่อสร้าง งานทางสถาปัตยกรรมได้แก่
- สถาปัตยกรรมทั่วไป เป็นการออกแบบสิ่งก่อสร้างทั่วไป เช่น อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า โบสถ์ วิหาร ฯลฯ – สถาปัตยกรรมโครงสร้าง เป็นการออกแบบเฉพาะโครงสร้างหลักของอาคาร
- สถาปัตยกรรมภายใน เป็นการออกแบบที่ต่อเนื่องจากงานโครงสร้าง ที่เป็นส่วนประกอบของอาคาร
- งานออกแบบภูมิทัศน์ เป็นการออกแบบที่มีบริเวณกว้างขวาง เป็นการจัดบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม
- งานออกแบบผังเมือง เป็นการออกแบบที่มีขนาดใหญ่ และมีองค์ประกอบซับซ้อน ซึ่งประกอบ ไปด้วยกลุ่มอาคารจำนวนมาก ระบบภูมิทัศน์ ระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ
2. การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) เป็นการออกแบบเพื่อการผลิต ผลิตภัณฑ์ ชนิดต่าง ๆงานออกแบบสาขานี้ มีขอบเขตกว้างขวางมากที่สุด และแบ่งออกได้มากมายหลาย ๆ ลักษณะ นักออกแบบรับผิดชอบเกี่ยวกับประโยชน์ใช้สอยและความสวยงามของ ผลิตภัณฑ์ งานออกแบบประเภทนี้ได้แก่
- งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์
– งานออกแบบครุภัณฑ์
– งานออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์
– งานออกแบบเครื่องใช้สอยต่างๆ
– งานออกแบบเครื่องประดับ อัญมณี
– งานออกแบบเครื่องแต่งกาย
– งานออกแบบภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์
– งานออกแบบผลิตเครื่องมือต่าง ๆ ฯลฯ
3. การออกแบบทางวิศวกรรม (Engineering Design) เป็นการออกแบบเพื่อการผลิต ผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน ต้องใช้ ความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีในการผลิตสูง ผู้ออกแบบคือ วิศวกร ซึ่งจะรับผิดชอบ ในเรื่องของประโยชน์ใช้สอย ความปลอดภัยและ กรรมวิธีในการผลิต บางอย่างต้องทำงาน ร่วมกันกับนักออกแบบสาขาต่าง ๆ ด้วย งานอกแบบประเภทนี้ได้แก่
– งานออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้า
– งานออกแบบเครื่องยนต์
– งานออกแบบเครื่องจักรกล
– งานออกแบบเครื่องมือสื่อสาร
– งานออกแบบอุปกณ์อิเลคทรอนิคส์ต่าง ๆ ฯลฯ
4. การออกแบบตกแต่ง (Decorative Design) เป็นการออกแบบเพื่อการตกแต่งสิ่งต่าง ๆให้สวยงามและเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น นักออกแบบเรียนว่า มัณฑนากร (Decorator) ซึ่งมักทำงานร่วมกับสถาปนิก งานออกแบบประเภทนี้ได้แก่
– งานตกแต่งภายใน (Interior Design)
– งานตกแต่งภายนอก (Exterior Design)
– งานจัดสวนและบริเวณ ( Landscape Design)
– งานตกแต่งมุมแสดงสินค้า (Display)
– การจัดนิทรรศการ (Exhibition) – การจัดบอร์ด
– การตกแต่งบนผิวหน้าของสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น ฯลฯ
5. การออกแบบสิ่งพิมพ์ (Graphic Design) กราฟฟิคดีไซน์ เป็นการออกแบบเพื่อทางผลิตงานสิ่งพิมพ์ ชนิดต่าง ๆ ได้แก่
– หนังสือ หนังสือพิมพ์
– โปสเตอร์ – นามบัตร และบัตรต่าง ๆ
– งานพิมพ์ลวดลายผ้า
– งานพิมพ์ภาพลงบนสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ
– งานออกแบบรูปสัญลักษณ์ – เครื่องหมายการค้า ฯลฯ
6. การออกแบบเว็บไซต์ (Website Design) เป็นการออกแบบที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในขณะนี้ เพราะในปัจจุบันเว็บไซต์ต่างมีบทบาทในชีวิตของคนเรามากขึ้น ในทุกๆด้าน โดยเฉพาะด้านธุรกิจ ทำให้คนเราต้องการทำเว็บไซต์ และต้องการคนออกแบบเว็บไซต์ให้เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของเว็บไซต์ โดยจะต้องมีเอกลักษณ์ และสื่อถึงสินค้าและบริการ หรือความเป็นตัวตนของเจ้าของเว็บไซต์ให้มากที่สุด นักออกแบบเว็บไซต์ถูกเรียกว่า Web Designer
หน้าที่
- บันทึกรายละเอียดความต้องการของลูกค้า
– ศึกษาโครงสร้างของงาน จัดดำเนินการออกแบบตกแต่ง คำนวณแบบ ประมาณราคาและเลือกวัสดุตกแต่งที่เหมาะสม
– ส่งแบบที่วาดและเสนองบให้ลูกค้าพิจารณา
– ปฏิบัติงาน และประสานงานกับระบบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- มีความสามารถในการรู้จักประยุกต์ใช้วัสดุที่มีในประเทศ เพื่อแสดงเอกลักษณ์ และประโยชน์ใช้สอยสูงสุด - มีทักษะในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการช่วยวาดรูปหรือออกแบบ
- มีระเบียบวินัย เข้าใจถึงการบริการทางธุรกิจ
- มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ให้ความร่วมมือกับทีมงานดี และมีความสามารถในการประสานงาน
- มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และปรับปรุงความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา
- รู้แหล่งข้อมูลเพื่อซื้อหาวัตถุดิบ
- ออกแบบตกแต่งภายในอาคารบ้านเรือนให้ถูกหลักและตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และเพื่อความปลอดภัย ประหยัดเหมาะสมกับภาวะสังคมและเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน
- มีความคิดสร้างสรรค์ ผลิตผลงานที่ไม่เหมือนใคร เป็นคนมีความละเอียดรอบคอบ
- ใส่ใจในความต้องการของลูกค้าว่าต้องการห้องประเภทไหน
– ศึกษางบประมาณที่ลูกค้าตั้งไว้ให้
– เขียนแบบร่างแสดงภาพแผนผัง (Perspective) โดยใช้มาตราส่วนที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้น แสดงให้เห็น ถนน ทางเท้า ตึกรามบ้านช่อง สะพาน รั้ว ท่อระบายน้ำโสโครก แนะนำชนิดของต้นไม้ ไม้พุ่ม และไม้ดอกให้ปลูกตามที่ต่างๆ ให้เหมาะสมกับลักษณะที่ดินและกลมกลืนกับสถาปัตยกรรมที่มีอยู่แล้ว ร่วมกับสถาปนิก มัฑณากร นำเสนอให้ลูกค้าพิจารณา
– เตรียมรายละเอียดและประมาณการราคา ควบคุมรายละเอียดของแบบแปลน
– ควบคุมการทำงานอย่างใกล้ชิด และต้องออกภาคสนามเพื่อตรวจดูงาน และแก้ไข ให้เป็นไปตามข้อตกลง
– มีความเข้าใจในรายละเอียดด้านวัสดุเป็นอย่างดี
– สามารถประยุกต์ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อการตกแต่งได้อย่างเหมาะสม
– ทำงานใกล้ชิดกับผู้รับเหมาก่อสร้าง รู้วิธีการประสานงาน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
คุณสมบัติของอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. มีคุณวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาตกแต่งภายใน
2. มีความคิดสร้างสรรค์ ผลิตผลงานที่ไม่เหมือนใคร เป็นคนมีความละเอียดรอบคอบ
3. มีความสามารถในการรู้จักประยุกต์ใช้วัสดุที่มีในประเทศ เพื่อแสดงเอกลักษณ์ และประโยชน์ใช้สอยสูงสุด
4. มีทักษะในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการช่วยวาดรูปหรือออกแบบ
5. มีระเบียบวินัย เข้าใจถึงการบริการทางธุรกิจ
6. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ให้ความร่วมมือกับทีมงานดี และมีความสามารถในการประสานงาน
7. มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และปรับปรุงความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา
8. รู้แหล่งข้อมูลเพื่อซื้อหาวัตถุดิบ
9. ออกแบบตกแต่งภายในอาคารบ้านเรือนให้ถูกหลักและตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และเพื่อความปลอดภัย ประหยัดเหมาะสมกับภาวะสังคมและเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้
10. ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้คือ : เมื่อสำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า(สายวิทย์) สอบคัดเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยที่จัดสอนคณะหรือภาควิชาสถาปัตยกรรม ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัย อาจไม่เหมือนกัน
รายได้ขั้นต่ำของอาชีพต่อเดือน
มัณฑนากรที่รับราชการจะได้รับเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา ถ้าทำงานกับภาคเอกชนจะได้รับเงินเดือนขั้นต้นอยู่ระหว่าง 15,000 – 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับฝีมือและประสบการณ์ในการฝึกงานขณะที่กำลังศึกษาอยู่ และได้รับสวัสดิการตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด และสิทธิประโยชน์อื่น เช่น โบนัส
Animation คืออะไร?
Animation หมายถึง การสร้างภาพเคลื่อนไหว โดยการนำภาพนิ่งหลายๆภาพที่มีความต่อเนื่อง มาฉายด้วยความเร็วที่เหมาะสม ทำให้เกิดภาพลวงตาของการเคลื่อนไหว
ทำไมภาพถึงเคลื่อนไหว?
ที่เราเห็นภาพเคลื่อนไหวนั้น เป็นเพราะว่า มนุษย์เรามีการจำการรู้สึกสัมผัส (Sensory Memory) การจำชนิดนี้เป็นการเก็บข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาตามที่ประสาทสัมผัสรับรู้จากสิ่งเร้าและจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เช่น การดูภาพยนตร์ซึ่งภาพแต่ละภาพจะยังคงติดตาอยู่เพียง 1 ต่อ 10 วินาทีเท่านั้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Persistence of Vision หรือเรียกว่า การจำภาพติดตา (Iconic Memory)
โดยปกติความเร็วของแอนิเมชันจะฉายด้วยความเร็วที่ต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของการแสดงผล(out put) โดยถ้าฉายเป็นภาพยนตร์จะฉายด้วยความเร็ว 24เฟรมต่อวินาที ถ้าถ่ายทอดในระบบ PAL จะวิ่งด้วยความเร็ว 25 เฟรมต่อวินาที แต่ในระบบ NTSC ในอเมริกาและญี่ปุ่นจะวิ่งด้วยความเร็ว 29.97 หรือ 30 เฟรมต่อวินาที
ประเภทของ Anaimation มี 2 ประเภท คือ
1. 2D Animation คือ ภาพเคลื่อนไหวแบบ 2 มิติ มองเห็นทั้งความสูงและความกว้าง ซึ่งจะมีความเหมือนจริงพอสมควร และในการสร้างจะไม่สลับซับซ้อนมากนักตัวอย่างเช่น การ์ตูนที่เรื่อง One Piece โดเรมอน หรือ ภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามเว็บต่างๆ รวมทั้ง Gif Animation
2. 3D Animation คือ ภาพเคลื่อนไหวแบบ 3 มิติ มองเห็นทั้งความสูงความกว้าง และความลึก ภาพที่เห็นจะมีความสมจริงมากถึงมากที่สุด(ก็สุดแล้วแต่จะโชว์พาว) เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Toy Story NEMO เป็นต้น
รูปแบบของ Animation มี 3 แบบ คือ
1.Drawn Animation คือแอนิเมชันที่เกิดจากการวาดภาพที่ละภาพหลายๆพันภาพ แต่การฉายภาพเหล่านั้นผ่านกล้องอาจใช้เวลาไม่กี่วินาที ข้อดีของการทำแอนิเมชันชนิดนี้ คือ มีความเป็นศิลปะ สวยงาม น่าชม แต่ข้อเสีย คือ ต้องใช้เวลาในการผลิตมาก ต้องใช้แอนิเมเตอร์จำนวนมากและต้นทุนก็สูงตามไปด้วย
2.Stop Motion หรือเรียกว่า Model Animation เป็นการถ่ายภาพแต่ละขณะของหุ่นจำลองที่ค่อยๆขยับ อาจจะเป็นของเล่นหรืออาจจะสร้างจาก plasticine วัสดุที่คล้ายกับดินน้ำมัน โดยโมเดลที่สร้างขึ้นสามารถใช้ได้อีกหลายครั้ง และยังสามารถผลิตได้หลายตัว แต่การทำ stop motion ต้องอาศัยเวลาและความทุ่มเทมาก เพราะบริษัทที่ผลิตภาพยนตร์เรื่อง James and Giant Peach สามารถผลิตได้วันละ 10 วินาทีเท่านั้น
3.Computer Animation ปัจจุบันมีซอฟแวร์ที่สามารถช่วยให้การทำแอนิเมชันง่ายขึ้น เช่น โปรแกรม MAYA 3D MAX Adobe Flash เป็นต้น วิธีนี้เป็นวิธีที่ประหยัดเวลาการผลิตและลดต้นทุนเป็นอย่างมาก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Toy Story ใช้แอนิเมเตอร์เพียง 110 คนเท่านั้น
ทำไมภาพถึงเคลื่อนไหว?
ที่เราเห็นภาพเคลื่อนไหวนั้น เป็นเพราะว่า มนุษย์เรามีการจำการรู้สึกสัมผัส (Sensory Memory) การจำชนิดนี้เป็นการเก็บข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาตามที่ประสาทสัมผัสรับรู้จากสิ่งเร้าและจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เช่น การดูภาพยนตร์ซึ่งภาพแต่ละภาพจะยังคงติดตาอยู่เพียง 1 ต่อ 10 วินาทีเท่านั้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Persistence of Vision หรือเรียกว่า การจำภาพติดตา (Iconic Memory)
โดยปกติความเร็วของแอนิเมชันจะฉายด้วยความเร็วที่ต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของการแสดงผล(out put) โดยถ้าฉายเป็นภาพยนตร์จะฉายด้วยความเร็ว 24เฟรมต่อวินาที ถ้าถ่ายทอดในระบบ PAL จะวิ่งด้วยความเร็ว 25 เฟรมต่อวินาที แต่ในระบบ NTSC ในอเมริกาและญี่ปุ่นจะวิ่งด้วยความเร็ว 29.97 หรือ 30 เฟรมต่อวินาที
ประเภทของ Anaimation มี 2 ประเภท คือ
1. 2D Animation คือ ภาพเคลื่อนไหวแบบ 2 มิติ มองเห็นทั้งความสูงและความกว้าง ซึ่งจะมีความเหมือนจริงพอสมควร และในการสร้างจะไม่สลับซับซ้อนมากนักตัวอย่างเช่น การ์ตูนที่เรื่อง One Piece โดเรมอน หรือ ภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามเว็บต่างๆ รวมทั้ง Gif Animation
2. 3D Animation คือ ภาพเคลื่อนไหวแบบ 3 มิติ มองเห็นทั้งความสูงความกว้าง และความลึก ภาพที่เห็นจะมีความสมจริงมากถึงมากที่สุด(ก็สุดแล้วแต่จะโชว์พาว) เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Toy Story NEMO เป็นต้น
รูปแบบของ Animation มี 3 แบบ คือ
1.Drawn Animation คือแอนิเมชันที่เกิดจากการวาดภาพที่ละภาพหลายๆพันภาพ แต่การฉายภาพเหล่านั้นผ่านกล้องอาจใช้เวลาไม่กี่วินาที ข้อดีของการทำแอนิเมชันชนิดนี้ คือ มีความเป็นศิลปะ สวยงาม น่าชม แต่ข้อเสีย คือ ต้องใช้เวลาในการผลิตมาก ต้องใช้แอนิเมเตอร์จำนวนมากและต้นทุนก็สูงตามไปด้วย
2.Stop Motion หรือเรียกว่า Model Animation เป็นการถ่ายภาพแต่ละขณะของหุ่นจำลองที่ค่อยๆขยับ อาจจะเป็นของเล่นหรืออาจจะสร้างจาก plasticine วัสดุที่คล้ายกับดินน้ำมัน โดยโมเดลที่สร้างขึ้นสามารถใช้ได้อีกหลายครั้ง และยังสามารถผลิตได้หลายตัว แต่การทำ stop motion ต้องอาศัยเวลาและความทุ่มเทมาก เพราะบริษัทที่ผลิตภาพยนตร์เรื่อง James and Giant Peach สามารถผลิตได้วันละ 10 วินาทีเท่านั้น
3.Computer Animation ปัจจุบันมีซอฟแวร์ที่สามารถช่วยให้การทำแอนิเมชันง่ายขึ้น เช่น โปรแกรม MAYA 3D MAX Adobe Flash เป็นต้น วิธีนี้เป็นวิธีที่ประหยัดเวลาการผลิตและลดต้นทุนเป็นอย่างมาก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Toy Story ใช้แอนิเมเตอร์เพียง 110 คนเท่านั้น
มัลติมีเดีย (Multimedia) คืออะไร
มัลติมีเดีย คือ ระบบสื่อสารข้อมูลข่าวสารหลายชนิด โดยผ่านสื่อทางคอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วย ข้อความ ฐานข้อมูล ตัวเลข กราฟิก ภาพ เสียง
และวีดิทัศน์
มัลติมีเดีย คือ การใช้คอมพิวเตอร์สื่อความหมายโดยการผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟ ภาพศิลป์ (Graphic Art) เสียง (Sound) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) และวีดิทัศน์ เป็นต้น ถ้าผู้ใช้สามารถควบคุมสื่อเหล่านี้ให้แสดงออกมาตามต้องการได้ระบบนี้จะเรียกว่า มัลติมีเดียปฏิ-สัมพันธ์ (Interactive Multimedia)
มัลติมีเดีย คือ โปรแกรมซอฟต์แวร์ที่อาศัยคอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการนำเสนอโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งรวมถึงการนำเสนอข้อความสีสัน ภาพ กราฟฟิก (Graphic images) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) เสียง (Sound) และภาพยนตร์วีดิทัศน์ (Full motion Video) ส่วนมัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia) จะเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่รับการตอบสนองจากผู้ใช้โดยใช้คีย์บอร์ด (Keyboard) เมาส์ (Mouse) หรือตัวชี้ (Pointer) เป็นต้น
ดังนั้นจึงสามารถสรุปความหมายของมัลติมีเดียได้ว่า มัลติมีเดีย คือ การใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับโปรแกรมซอฟต์แวร์ในการสื่อความหมายโดยการผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟิก (Graphic) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) เสียง (Sound) และวีดิทัศน์ (Video) เป็นต้น และถ้าผู้ใช้สามารถที่จะควบคุมสื่อให้นำเสนอออกมาตามต้องการได้จะเรียกว่า มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia) การปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้สามารถจะกระทำได้โดยผ่านทางคีย์บอร์ด (Keyboard) เมาส์ (Mouse) หรือตัวชี้ (Pointer) การใช้มัลติมีเดียในลักษณะปฏิสัมพันธ์ก็เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้หรือทำกิจกรรม รวมถึงดูสื่อต่าง ๆ ด้วยตนเอง สื่อต่าง ๆ ที่นำมารวมไว้ในมัลติมีเดีย เช่น ภาพ เสียง วีดิทัศน์ จะช่วยให้เกิดความหลากหลาย ชาน่าสนใจ และเร้าความสนใจ เพิ่มความสนุกสนานในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
และวีดิทัศน์
มัลติมีเดีย คือ การใช้คอมพิวเตอร์สื่อความหมายโดยการผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟ ภาพศิลป์ (Graphic Art) เสียง (Sound) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) และวีดิทัศน์ เป็นต้น ถ้าผู้ใช้สามารถควบคุมสื่อเหล่านี้ให้แสดงออกมาตามต้องการได้ระบบนี้จะเรียกว่า มัลติมีเดียปฏิ-สัมพันธ์ (Interactive Multimedia)
มัลติมีเดีย คือ โปรแกรมซอฟต์แวร์ที่อาศัยคอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการนำเสนอโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งรวมถึงการนำเสนอข้อความสีสัน ภาพ กราฟฟิก (Graphic images) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) เสียง (Sound) และภาพยนตร์วีดิทัศน์ (Full motion Video) ส่วนมัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia) จะเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่รับการตอบสนองจากผู้ใช้โดยใช้คีย์บอร์ด (Keyboard) เมาส์ (Mouse) หรือตัวชี้ (Pointer) เป็นต้น
ดังนั้นจึงสามารถสรุปความหมายของมัลติมีเดียได้ว่า มัลติมีเดีย คือ การใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับโปรแกรมซอฟต์แวร์ในการสื่อความหมายโดยการผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟิก (Graphic) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) เสียง (Sound) และวีดิทัศน์ (Video) เป็นต้น และถ้าผู้ใช้สามารถที่จะควบคุมสื่อให้นำเสนอออกมาตามต้องการได้จะเรียกว่า มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia) การปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้สามารถจะกระทำได้โดยผ่านทางคีย์บอร์ด (Keyboard) เมาส์ (Mouse) หรือตัวชี้ (Pointer) การใช้มัลติมีเดียในลักษณะปฏิสัมพันธ์ก็เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้หรือทำกิจกรรม รวมถึงดูสื่อต่าง ๆ ด้วยตนเอง สื่อต่าง ๆ ที่นำมารวมไว้ในมัลติมีเดีย เช่น ภาพ เสียง วีดิทัศน์ จะช่วยให้เกิดความหลากหลาย ชาน่าสนใจ และเร้าความสนใจ เพิ่มความสนุกสนานในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
อะไรคือ “ครีเอทีฟ” What is “Creative” by ดลชัย บุญยะรัตเวช
ทุกคนเป็นครีเอทีฟได้
มีหลายคนเข้าใจผิดว่า ผู้ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานคือ ผู้ที่ทำงานในแผนกครีเอทีฟขององค์กร ถ้าเป็นเอเยนซีโฆษณาก็ต้องเป็น Creative Director, Art director และ Copy Writer ถ้าเป็นองค์กรทั่วไปก็ต้องเป็น Designer หรือไม่ก็ฝ่ายสร้างสรรค์กิจกรรม แต่ผมอยากจะให้ทุกท่านทำความเข้าใจใหม่ว่า การมีความคิดสร้างสรรค์นั้น ควรมีในทุกหน้าที่ทุกบทบาท และทุกประเภทของธุรกิจ เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้เปรียบในการดำเนินงานและการแข่งขัน ด้วยหัวใจหลักของมันซึ่งก็คือการมี “ไอเดีย” ในทุกๆ ภารกิจ
“ครีเอทีฟ” ถ้าจะนิยามความหมายอย่างกระชับที่สุดก็คือ ไอเดีย, ความคิด, และการแสดงออกที่สดใหม่ ซึ่งลองนึกนะครับว่าหากคุณมีมันในชีวิต ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาด, นักวางแผนกลยุทธ์, นักโฆษณา, นักประชาสัมพันธ์, นักการเงิน, ฝ่ายขาย, ฝ่ายบุคคล, ฝ่ายบัญชี หรือแม้แต่ฝ่ายแม่บ้าน คุณจะพบว่ามันจะช่วยให้เรามีทางออกที่น่าสนใจ เป็นเอกลักษณ์และตอบความท้าทายได้อย่างดีเกินคาดครับ
ผมขอนำข้อเขียนที่ผมได้เขียนไว้เพื่อตีพิมพ์ลงหนังสือ “ช่างคิด” ของสมาคมผู้กำกับศิลป์บางกอก (Bangkok Art Directors’ Association) ในเล่มนี้จะประกอบด้วยแง่คิดน่าสนใจจาก ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ และนายกสมาคมหลากหลายท่าน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ และให้มุมมองดีๆ แก่นักคิดยุคใหม่ ซึ่งผมเองเคยทำหน้าที่เป็นนายกสมาคมเมื่อปี 2534 และด้วย 20 ปีของการเป็น Creative และ 10 ปี ของการเป็นคนวางแผนกลยุทธ์แบรนด์ ได้มอบประสบการณ์ บทเรียน ที่ทั้งตื่นเต้น ท้าทาย และทั้ง ปวดหัวเหน็ดเหนื่อยคลุกเคล้ากันไปตลอดเวลากับผม จนดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ ที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวบังคับให้เราจำเป็นต้องเรียนรู้การที่จะเป็นนักคิดที่ดี ซึ่งเป็นหัวใจหลักของวิชาชีพนี้
องค์ประกอบของนักคิดสร้างสรรค์
น้องๆ หลายคนถามผมว่า การที่จะเป็นนักคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสามารถคิดไอเดียคมๆ สดใหม่ได้อยู่เสมอนั้น ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ผมเองถ้าจะให้นิยามเป็นคำพูดสั้นๆ คงจะลำบาก เอาเป็นว่าจากประสบการณ์ส่วนตัว ทำให้ผมพบว่ามีบางแง่มุมที่น่าสนใจให้สังเกตอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือการมีเส้นบางๆ อยู่ระหว่างสิ่งที่แตกต่างกัน 2 สิ่งเสมอในการทำงาน หากเราไม่รู้จักมองภาพ 2 ส่วนที่ไม่เหมือนกันให้ขาด และทำความเข้าใจใน “หัวใจ” ของมันแล้ว เราอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคในการทำงาน และศัตรูของความคิด....ซึ่งก็คือตัวของเราเอง ผมถือโอกาสนี้ลองหยิบยกมุมมองที่ตนเองได้เรียนรู้และใช้ปฏิบัติมา และดูเหมือนจะได้ผลกับตัวเองมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครคิดจะลองไปใช้บ้างก็ไม่หวงห้าม แถมยินดีอย่างมากด้วยครับหากจะเป็นประโยชน์ในชีวิตไม่มากก็น้อย ข้อคิดเหล่านี้คือการเข้าใจในการแยกแยะให้ออกระหว่างสิ่งที่แตกต่างกันของ 2 สิ่งเหล่านี้
“ความคิดของฉัน” กับ “ความคิดที่ 1”
เรียกความคิดที่ตัวเองคิดได้ว่าเป็นความคิดที่ 1,ที่ 2, หรือที่ 10 แทนที่จะเรียกว่า “ความคิดของฉัน” เพื่อเป็นการป้องกัน “อัตตา” และป้องกันใจของเราที่ไม่เป็นกลางพอ ในการที่จะรับฟัง แก้ไข หรือเปลี่ยนไอเดีย ที่อาจยังไม่สมบูรณ์แบบของตนสู่ไอเดียใหม่ๆ ที่ดีกว่า
“ฟังคนอื่น” ขณะ “ฟังตัวเอง”
ฟังความคิดเห็นและมุมมองของคนอื่น กลั่นกรองไตร่ตรองให้เป็นประโยชน์ ขณะเดียวกันก็แบ่งหูอีกข้างหนึ่งฟังเสียงที่มาจากความคิดของตนเอง แล้วจะรู้ว่าหูทั้งสองข้างสอนอะไรให้กับเราได้หลายอย่าง โดยเฉพาะมุมมองดีๆ ที่เราอาจคาดไม่ถึง
“Good” ต่างกับ “Great”
แยกระหว่างไอเดียที่ดีใช้ได้ (Good) กับไอเดียที่ดีเยี่ยม (Great) และเข้าใจใช้พลังงานที่มีทุ่มเทเพื่อต่อยอดสิ่งที่ดีให้ดีที่สุด โดยพร้อมจะโยนทิ้งไอเดียที่ยังไม่ถึงที่สุดได้ทุกเมื่อ อย่างไม่เสียดาย
“ทฤษฏี” กับ “ความจริง”
ใช้ทฤษฎีเป็นแนวทางบอก “ความน่าจะใช่” “ความควรจะเป็น” ในความคิด และเชื่อมมันให้ได้กับ “ความจริง” ที่เกิดจากการปฏิบัติเพื่อเป็นคำตอบแท้จริงที่มีอิสระ มีเสน่ห์และจับต้องได้
“อารมณ์” หรือ “ตรรกะ”
ใช้อารมณ์ความรู้สึก และลางสังหรณ์จากประสบการณ์ของตนเอง มาห่อหุ้มตรรกะของความคิดให้ลงตัว เพื่อให้งานมีความเป็นธรรมชาติ มีแรงดึงดูด มีความสดใหม่แต่มีเหตุผลที่ตอบสนองความท้าทายซึ่งได้กำหนดไว้
มีหลายคนเข้าใจผิดว่า ผู้ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานคือ ผู้ที่ทำงานในแผนกครีเอทีฟขององค์กร ถ้าเป็นเอเยนซีโฆษณาก็ต้องเป็น Creative Director, Art director และ Copy Writer ถ้าเป็นองค์กรทั่วไปก็ต้องเป็น Designer หรือไม่ก็ฝ่ายสร้างสรรค์กิจกรรม แต่ผมอยากจะให้ทุกท่านทำความเข้าใจใหม่ว่า การมีความคิดสร้างสรรค์นั้น ควรมีในทุกหน้าที่ทุกบทบาท และทุกประเภทของธุรกิจ เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้เปรียบในการดำเนินงานและการแข่งขัน ด้วยหัวใจหลักของมันซึ่งก็คือการมี “ไอเดีย” ในทุกๆ ภารกิจ
“ครีเอทีฟ” ถ้าจะนิยามความหมายอย่างกระชับที่สุดก็คือ ไอเดีย, ความคิด, และการแสดงออกที่สดใหม่ ซึ่งลองนึกนะครับว่าหากคุณมีมันในชีวิต ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาด, นักวางแผนกลยุทธ์, นักโฆษณา, นักประชาสัมพันธ์, นักการเงิน, ฝ่ายขาย, ฝ่ายบุคคล, ฝ่ายบัญชี หรือแม้แต่ฝ่ายแม่บ้าน คุณจะพบว่ามันจะช่วยให้เรามีทางออกที่น่าสนใจ เป็นเอกลักษณ์และตอบความท้าทายได้อย่างดีเกินคาดครับ
ผมขอนำข้อเขียนที่ผมได้เขียนไว้เพื่อตีพิมพ์ลงหนังสือ “ช่างคิด” ของสมาคมผู้กำกับศิลป์บางกอก (Bangkok Art Directors’ Association) ในเล่มนี้จะประกอบด้วยแง่คิดน่าสนใจจาก ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ และนายกสมาคมหลากหลายท่าน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ และให้มุมมองดีๆ แก่นักคิดยุคใหม่ ซึ่งผมเองเคยทำหน้าที่เป็นนายกสมาคมเมื่อปี 2534 และด้วย 20 ปีของการเป็น Creative และ 10 ปี ของการเป็นคนวางแผนกลยุทธ์แบรนด์ ได้มอบประสบการณ์ บทเรียน ที่ทั้งตื่นเต้น ท้าทาย และทั้ง ปวดหัวเหน็ดเหนื่อยคลุกเคล้ากันไปตลอดเวลากับผม จนดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ ที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวบังคับให้เราจำเป็นต้องเรียนรู้การที่จะเป็นนักคิดที่ดี ซึ่งเป็นหัวใจหลักของวิชาชีพนี้
องค์ประกอบของนักคิดสร้างสรรค์
น้องๆ หลายคนถามผมว่า การที่จะเป็นนักคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสามารถคิดไอเดียคมๆ สดใหม่ได้อยู่เสมอนั้น ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ผมเองถ้าจะให้นิยามเป็นคำพูดสั้นๆ คงจะลำบาก เอาเป็นว่าจากประสบการณ์ส่วนตัว ทำให้ผมพบว่ามีบางแง่มุมที่น่าสนใจให้สังเกตอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือการมีเส้นบางๆ อยู่ระหว่างสิ่งที่แตกต่างกัน 2 สิ่งเสมอในการทำงาน หากเราไม่รู้จักมองภาพ 2 ส่วนที่ไม่เหมือนกันให้ขาด และทำความเข้าใจใน “หัวใจ” ของมันแล้ว เราอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคในการทำงาน และศัตรูของความคิด....ซึ่งก็คือตัวของเราเอง ผมถือโอกาสนี้ลองหยิบยกมุมมองที่ตนเองได้เรียนรู้และใช้ปฏิบัติมา และดูเหมือนจะได้ผลกับตัวเองมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครคิดจะลองไปใช้บ้างก็ไม่หวงห้าม แถมยินดีอย่างมากด้วยครับหากจะเป็นประโยชน์ในชีวิตไม่มากก็น้อย ข้อคิดเหล่านี้คือการเข้าใจในการแยกแยะให้ออกระหว่างสิ่งที่แตกต่างกันของ 2 สิ่งเหล่านี้
“ความคิดของฉัน” กับ “ความคิดที่ 1”
เรียกความคิดที่ตัวเองคิดได้ว่าเป็นความคิดที่ 1,ที่ 2, หรือที่ 10 แทนที่จะเรียกว่า “ความคิดของฉัน” เพื่อเป็นการป้องกัน “อัตตา” และป้องกันใจของเราที่ไม่เป็นกลางพอ ในการที่จะรับฟัง แก้ไข หรือเปลี่ยนไอเดีย ที่อาจยังไม่สมบูรณ์แบบของตนสู่ไอเดียใหม่ๆ ที่ดีกว่า
“ฟังคนอื่น” ขณะ “ฟังตัวเอง”
ฟังความคิดเห็นและมุมมองของคนอื่น กลั่นกรองไตร่ตรองให้เป็นประโยชน์ ขณะเดียวกันก็แบ่งหูอีกข้างหนึ่งฟังเสียงที่มาจากความคิดของตนเอง แล้วจะรู้ว่าหูทั้งสองข้างสอนอะไรให้กับเราได้หลายอย่าง โดยเฉพาะมุมมองดีๆ ที่เราอาจคาดไม่ถึง
“Good” ต่างกับ “Great”
แยกระหว่างไอเดียที่ดีใช้ได้ (Good) กับไอเดียที่ดีเยี่ยม (Great) และเข้าใจใช้พลังงานที่มีทุ่มเทเพื่อต่อยอดสิ่งที่ดีให้ดีที่สุด โดยพร้อมจะโยนทิ้งไอเดียที่ยังไม่ถึงที่สุดได้ทุกเมื่อ อย่างไม่เสียดาย
“ทฤษฏี” กับ “ความจริง”
ใช้ทฤษฎีเป็นแนวทางบอก “ความน่าจะใช่” “ความควรจะเป็น” ในความคิด และเชื่อมมันให้ได้กับ “ความจริง” ที่เกิดจากการปฏิบัติเพื่อเป็นคำตอบแท้จริงที่มีอิสระ มีเสน่ห์และจับต้องได้
“อารมณ์” หรือ “ตรรกะ”
ใช้อารมณ์ความรู้สึก และลางสังหรณ์จากประสบการณ์ของตนเอง มาห่อหุ้มตรรกะของความคิดให้ลงตัว เพื่อให้งานมีความเป็นธรรมชาติ มีแรงดึงดูด มีความสดใหม่แต่มีเหตุผลที่ตอบสนองความท้าทายซึ่งได้กำหนดไว้
เจาะอาชีพ Graphic Designer มีอะไรบ้าง
วันนี้ผมนำเอา InfoGraphic ที่สร้างโดยเว็บ LogoSnap เกี่ยวกับวงการนักออกแบบ Graphic Designer ว่ามีอะไรบ้างในอาชีพที่ตนทำ ไม่ว่าจะรายได้และสายงาน ขอสรุปในสิ่งที่น่าสนใจ ก่อนที่คุณจะไปดูเอาในภาพ InfoGraphic ที่ลิ้งค์ที่มาด้านล่างเองอีกทีนะครับ
เริ่มที่กลุ่มใหญ่ของอาชีพ Graphic Designer ตามความนิยม
- Senior Graphic Designer
- Interaction Designer
- Art & Design Director
- Graphic Designer
- Creative Director
- รายได้เฉลี่ยของ Graphic Designer ทั้งหมดจะอยู่ประมาณ 43,500 US ดอลล่าร์ต่อปี หรือประมาณ 1.4 ล้านบาท (รายได้ของแถบ USA จะสูงกว่าบ้านเราเยอะครับ ลองหาร 12 เดือน ตกเดือนละเป็นแสนบาททีเดียว)
- รายได้สูงสุดของ Graphic Designer อยู่ที่ 76,910 US ดอลล่าร์ต่อปี หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท
- รายได้ต่ำสุดของ Graphic Designer อยู่ที่ 26,200 US ดอลล่าร์ต่อปี หรือประมาณ 8 แสนบาท
รายได้แบ่งตามระดับการศึกษา โดยมีประสบการณ์การทำงานตั้งแต่ 1-3 ปี
- ปริญญาตรี สาขา Fine Art จะมีรายได้ประมาณ 33,183-43,868 US ต่อปี (ประมาณ 1-1.4 ล้านบาท)
- ปริญญาตรี สาขา Graphic Design & Master of Fine Art จะมีรายได้ประมาณ 37,864-86,607 US ต่อปี (ประมาณ 1.2-2.7 ล้านบาท)
รายได้แบ่งตามประสบการณ์การทำงาน
- 1 ปี มีรายได้ประมาณ 30,721 US ต่อปี (ประมาณ 9 แสนกว่าบาท)
- 1-4 ปี มีรายได้ประมาณ 34,800 US ต่อปี (ประมาณ 1.1 ล้านบาท)
- 5-9 ปี มีรายได้ประมาณ 40,585 US ต่อปี (ประมาณ 1.2 ล้านบาท)
- 10-19 ปี มีรายได้ประมาณ 44,927 US ต่อปี (ประมาณ 1.4 ล้านบาท)
- 20 ปีขึ้นไป มีรายได้ประมาณ 47,023 US ต่อปี (ประมาณ 1.5 ล้านบาท)
ซอฟแวร์ยอดนิยมของ Graphic Designer
1. Photoshop 97%
2. Illustrator 85%
3. Indesign 59%
4. Adobe Flash 38%
5. Corel Draw 15%
6. Fireworks 4%
แบ่งตามกลุ่มงานอาชีพที่ทำ
- Commercial Print Designer ออกแบบการ์ดแต่งงาน, นามบัตร, โบรชัวร์แผ่นพับ, โปสเตอร์
- Publication Designer ออกแบบจัดหน้าหนังสือ นิตยสาร หรือ นสพ. รวมถึงออกแบบตัวอักษร Typography
- Multimedia Designer ออกแบบสื่อเคลื่อนไหว Animation งานตัดต่อวีดีโอ งาน Effects, Motion
- Advertising Designer ออกแบบโลโก้ สร้างแบรนด์ให้สินค้าหรือองค์กร รวมถึงออกแบบตัวอักษร Typography
- Illustrator Designer งานวาดภาพ ลงสี สร้าง Background กราฟฟิคต่างๆ รวมถึงงานวีดีโอเกมส์
- 3D Animation Designer ออกแบบงาน 3 มิติแบบเคลื่อนไหวในสื่อต่างๆ
- Flash Designer ออกแบบเว็บ Flash, Banner และภาพเคลื่อนไหว
- Web Designer ออกแบบเว็บ, CSS และ HTML
แบ่งตามกลุ่มเฉพาะ
- Web Design 68%
- Print Design 42%
- Brand Identity 30%
- Packaging 2%
อัตราการเลิกอาชีพ
- เลิกทำงานภายใน 2 ปีแรก 30%
- เลิกทำงานก่อน 5 ปี 30%
- ยังคงทำงานหลัง 5 ปีผ่านไป 40%
(แบบประเมินนี้เป็นของปี 2556)
เริ่มที่กลุ่มใหญ่ของอาชีพ Graphic Designer ตามความนิยม
- Senior Graphic Designer
- Interaction Designer
- Art & Design Director
- Graphic Designer
- Creative Director
- รายได้เฉลี่ยของ Graphic Designer ทั้งหมดจะอยู่ประมาณ 43,500 US ดอลล่าร์ต่อปี หรือประมาณ 1.4 ล้านบาท (รายได้ของแถบ USA จะสูงกว่าบ้านเราเยอะครับ ลองหาร 12 เดือน ตกเดือนละเป็นแสนบาททีเดียว)
- รายได้สูงสุดของ Graphic Designer อยู่ที่ 76,910 US ดอลล่าร์ต่อปี หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท
- รายได้ต่ำสุดของ Graphic Designer อยู่ที่ 26,200 US ดอลล่าร์ต่อปี หรือประมาณ 8 แสนบาท
รายได้แบ่งตามระดับการศึกษา โดยมีประสบการณ์การทำงานตั้งแต่ 1-3 ปี
- ปริญญาตรี สาขา Fine Art จะมีรายได้ประมาณ 33,183-43,868 US ต่อปี (ประมาณ 1-1.4 ล้านบาท)
- ปริญญาตรี สาขา Graphic Design & Master of Fine Art จะมีรายได้ประมาณ 37,864-86,607 US ต่อปี (ประมาณ 1.2-2.7 ล้านบาท)
รายได้แบ่งตามประสบการณ์การทำงาน
- 1 ปี มีรายได้ประมาณ 30,721 US ต่อปี (ประมาณ 9 แสนกว่าบาท)
- 1-4 ปี มีรายได้ประมาณ 34,800 US ต่อปี (ประมาณ 1.1 ล้านบาท)
- 5-9 ปี มีรายได้ประมาณ 40,585 US ต่อปี (ประมาณ 1.2 ล้านบาท)
- 10-19 ปี มีรายได้ประมาณ 44,927 US ต่อปี (ประมาณ 1.4 ล้านบาท)
- 20 ปีขึ้นไป มีรายได้ประมาณ 47,023 US ต่อปี (ประมาณ 1.5 ล้านบาท)
ซอฟแวร์ยอดนิยมของ Graphic Designer
1. Photoshop 97%
2. Illustrator 85%
3. Indesign 59%
4. Adobe Flash 38%
5. Corel Draw 15%
6. Fireworks 4%
แบ่งตามกลุ่มงานอาชีพที่ทำ
- Commercial Print Designer ออกแบบการ์ดแต่งงาน, นามบัตร, โบรชัวร์แผ่นพับ, โปสเตอร์
- Publication Designer ออกแบบจัดหน้าหนังสือ นิตยสาร หรือ นสพ. รวมถึงออกแบบตัวอักษร Typography
- Multimedia Designer ออกแบบสื่อเคลื่อนไหว Animation งานตัดต่อวีดีโอ งาน Effects, Motion
- Advertising Designer ออกแบบโลโก้ สร้างแบรนด์ให้สินค้าหรือองค์กร รวมถึงออกแบบตัวอักษร Typography
- Illustrator Designer งานวาดภาพ ลงสี สร้าง Background กราฟฟิคต่างๆ รวมถึงงานวีดีโอเกมส์
- 3D Animation Designer ออกแบบงาน 3 มิติแบบเคลื่อนไหวในสื่อต่างๆ
- Flash Designer ออกแบบเว็บ Flash, Banner และภาพเคลื่อนไหว
- Web Designer ออกแบบเว็บ, CSS และ HTML
แบ่งตามกลุ่มเฉพาะ
- Web Design 68%
- Print Design 42%
- Brand Identity 30%
- Packaging 2%
อัตราการเลิกอาชีพ
- เลิกทำงานภายใน 2 ปีแรก 30%
- เลิกทำงานก่อน 5 ปี 30%
- ยังคงทำงานหลัง 5 ปีผ่านไป 40%
(แบบประเมินนี้เป็นของปี 2556)
Graphic คืออะไร
คำว่า กราฟิก (Graphic) มาจากภาษากรีก 2 คำคือ
1. Graphikos หมายถึง การวาดเขียน
2. Graphein หมายถึง การเขียน
ต่อมามีผู้ให้ความหมายของคำว่า “กราฟิก” ไว้หลายประการซึ่งสรุปได้ดังนี้
........กราฟิก หมายถึง ศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งใช้สื่อความหมายด้วยเส้น สัญลักษณ์ รูปวาด ภาพถ่าย กราฟ แผนภูมิ การ์ตูน ฯลฯ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายข้อมูลได้ถูกต้องตรงตามที่ผู้สื่อสารต้องการ
กราฟิกประกอบด้วย
1. ภาพบิตแมพ (Bitmap) เป็นภาพที่มีการเก็บข้อมูลแบบพิกเซล หรือจุดเล็กๆ ที่แสดงค่าสี ดังนั้นภาพหนึ่งๆ จึงเกิดจากจุดเล็กๆ หลายๆ จุดประกอบกัน (คล้ายๆ กับการปักผ้าครอสติก) ทำให้รูปภาพแต่ละรูป เก็บข้อมูลจำนวนมาก เมื่อจะนำมาใช้ จึงมีเทคนิคการบีบอัดข้อมูล ฟอร์แมตของภาพบิตแมพ ที่รู้จักกันดี ได้แก่ .BMP, .PCX, .GIF, .JPG, .TIF
2. ภาพเวกเตอร์ (Vector) เป็นภาพที่สร้างด้วยส่วนประกอบของเส้นลักษณะต่างๆ และคุณสมบัติเกี่ยวกับสีของเส้นนั้นๆ ซึ่งสร้างจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น ภาพของคน ก็จะถูกสร้างด้วยจุดของเส้นหลายๆ จุด เป็นลักษณะของโครงร่าง (Outline) และสีของคนก็เกิดจากสีของเส้นโครงร่างนั้นๆ กับพื้นที่ผิวภายในนั่นเอง เมื่อมีการแก้ไขภาพ ก็จะเป็นการแก้ไขคุณสมบัติของเส้น ทำให้ภาพไม่สูญเสียความละเอียด เมื่อมีการขยายภาพนั่นเอง ภาพแบบ Vector ที่หลายๆ ท่านคุ้นเคยก็คือ ภาพ .wmf ซึ่งเป็น clipart ของ Microsoft Office นั่นเอง นอกจากนี้คุณจะสามารถพบภาพฟอร์แมตนี้ได้กับภาพในโปรแกรม Adobe Illustrator หรือ Macromedia Freehand
3. คลิปอาร์ต (Clipart) เป็นรูปแบบของการจัดเก็บภาพ จำนวนมากๆ ในลักษณะของตารางภาพ หรือห้องสมุดภาพ หรือคลังภาพ เพื่อให้เรียกใช้ สืบค้น ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
4. HyperPicture มักจะเป็นภาพชนิดพิเศษ ที่พบได้บนสื่อมัลติมีเดีย มีความสามารถเชื่อมโยงไปยังเนื้อหา หรือรายละเอียดอื่นๆ มีการกระทำ เช่น คลิก (Click) หรือเอาเมาส์มาวางไว้เหนือตำแหน่งที่ระบุ (Over)
คอมพิวเตอร์กราฟฟิก
........คอมพิวเตอร์กราฟฟิก หมายถึง การสร้าง การตกแต่งแก้ไข หรือการจัดการเกี่ยวกับรูปภาพ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการจัดการ ยกตัวอย่างเช่น การทำ Image Retouching ภาพคนแก่ให้มีวัยที่เด็กขึ้น การสร้างภาพตามจินตนาการ และการใช้ภาพกราฟิกในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายได้ตรงตามที่ผู้สื่อสาร ต้องการและน่าสนใจยิ่งขึ้นด้วยกราฟ แผนภูมิ แผนภาพ เป็นต้น
........ภาพกราฟิกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
-กราฟิกแบบ 2 มิติ เป็นภาพที่พบเห็นโดยทั่วไป เช่น ภาพถ่าย รูปวาด ภาพลายเส้น สัญลักษณ์ กราฟ รวมถึงการ์ตูนต่างๆ ในโทรทัศน์
-กราฟิกแบบ 3 มิติ เป็นภาพกราฟิกที่ใช้โปรแกรมสร้างภาพ 3 มิติโดยเฉพาะ เช่น โปรแกรม 3Ds Max โปรแกรม Maya เป็นต้น
ดังนั้น กราฟิกแบบ 2 มิติ คือ ศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งใช้สื่อความหมายด้วยเส้น สัญลักษณ์ รูปวาด ภาพถ่าย กราฟ แผนภูมิ การ์ตูน ฯลฯ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายข้อมูลได้ถูกต้องตรงตามที่ผู้สื่อสารต้องการ โดยมีลักษณะเป็น 2 มิติ คือ สามารถมองเห็นตามแนวแกน X(ความกว้าง) กับ แกน Y(ความยาว) ซึ่งต่างจาก 3 มิติ ซึ่ง 3 มิติ นั้นจะมีแกน Z (ความหนาหรือความสูง) เพิ่มเข้ามา ทำให้เราเห็นเป็นรูปร่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ส่วนรูปแบบหรือนามสกุลไฟล์ก็จะเป็น format รูปภาพทั่วๆไป เช่น .BMP, .PCX, .GIF, .JPG, .TIF, .WMF, .PNG เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้โปรแกรม Adobe Photoshop, Illustrator, Freehand, Firework, Microsoft Visio, CorelDraw, GIMP เป็นต้น
1. Graphikos หมายถึง การวาดเขียน
2. Graphein หมายถึง การเขียน
ต่อมามีผู้ให้ความหมายของคำว่า “กราฟิก” ไว้หลายประการซึ่งสรุปได้ดังนี้
........กราฟิก หมายถึง ศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งใช้สื่อความหมายด้วยเส้น สัญลักษณ์ รูปวาด ภาพถ่าย กราฟ แผนภูมิ การ์ตูน ฯลฯ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายข้อมูลได้ถูกต้องตรงตามที่ผู้สื่อสารต้องการ
กราฟิกประกอบด้วย
1. ภาพบิตแมพ (Bitmap) เป็นภาพที่มีการเก็บข้อมูลแบบพิกเซล หรือจุดเล็กๆ ที่แสดงค่าสี ดังนั้นภาพหนึ่งๆ จึงเกิดจากจุดเล็กๆ หลายๆ จุดประกอบกัน (คล้ายๆ กับการปักผ้าครอสติก) ทำให้รูปภาพแต่ละรูป เก็บข้อมูลจำนวนมาก เมื่อจะนำมาใช้ จึงมีเทคนิคการบีบอัดข้อมูล ฟอร์แมตของภาพบิตแมพ ที่รู้จักกันดี ได้แก่ .BMP, .PCX, .GIF, .JPG, .TIF
2. ภาพเวกเตอร์ (Vector) เป็นภาพที่สร้างด้วยส่วนประกอบของเส้นลักษณะต่างๆ และคุณสมบัติเกี่ยวกับสีของเส้นนั้นๆ ซึ่งสร้างจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น ภาพของคน ก็จะถูกสร้างด้วยจุดของเส้นหลายๆ จุด เป็นลักษณะของโครงร่าง (Outline) และสีของคนก็เกิดจากสีของเส้นโครงร่างนั้นๆ กับพื้นที่ผิวภายในนั่นเอง เมื่อมีการแก้ไขภาพ ก็จะเป็นการแก้ไขคุณสมบัติของเส้น ทำให้ภาพไม่สูญเสียความละเอียด เมื่อมีการขยายภาพนั่นเอง ภาพแบบ Vector ที่หลายๆ ท่านคุ้นเคยก็คือ ภาพ .wmf ซึ่งเป็น clipart ของ Microsoft Office นั่นเอง นอกจากนี้คุณจะสามารถพบภาพฟอร์แมตนี้ได้กับภาพในโปรแกรม Adobe Illustrator หรือ Macromedia Freehand
3. คลิปอาร์ต (Clipart) เป็นรูปแบบของการจัดเก็บภาพ จำนวนมากๆ ในลักษณะของตารางภาพ หรือห้องสมุดภาพ หรือคลังภาพ เพื่อให้เรียกใช้ สืบค้น ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
4. HyperPicture มักจะเป็นภาพชนิดพิเศษ ที่พบได้บนสื่อมัลติมีเดีย มีความสามารถเชื่อมโยงไปยังเนื้อหา หรือรายละเอียดอื่นๆ มีการกระทำ เช่น คลิก (Click) หรือเอาเมาส์มาวางไว้เหนือตำแหน่งที่ระบุ (Over)
คอมพิวเตอร์กราฟฟิก
........คอมพิวเตอร์กราฟฟิก หมายถึง การสร้าง การตกแต่งแก้ไข หรือการจัดการเกี่ยวกับรูปภาพ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการจัดการ ยกตัวอย่างเช่น การทำ Image Retouching ภาพคนแก่ให้มีวัยที่เด็กขึ้น การสร้างภาพตามจินตนาการ และการใช้ภาพกราฟิกในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายได้ตรงตามที่ผู้สื่อสาร ต้องการและน่าสนใจยิ่งขึ้นด้วยกราฟ แผนภูมิ แผนภาพ เป็นต้น
........ภาพกราฟิกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
-กราฟิกแบบ 2 มิติ เป็นภาพที่พบเห็นโดยทั่วไป เช่น ภาพถ่าย รูปวาด ภาพลายเส้น สัญลักษณ์ กราฟ รวมถึงการ์ตูนต่างๆ ในโทรทัศน์
-กราฟิกแบบ 3 มิติ เป็นภาพกราฟิกที่ใช้โปรแกรมสร้างภาพ 3 มิติโดยเฉพาะ เช่น โปรแกรม 3Ds Max โปรแกรม Maya เป็นต้น
ดังนั้น กราฟิกแบบ 2 มิติ คือ ศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งใช้สื่อความหมายด้วยเส้น สัญลักษณ์ รูปวาด ภาพถ่าย กราฟ แผนภูมิ การ์ตูน ฯลฯ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายข้อมูลได้ถูกต้องตรงตามที่ผู้สื่อสารต้องการ โดยมีลักษณะเป็น 2 มิติ คือ สามารถมองเห็นตามแนวแกน X(ความกว้าง) กับ แกน Y(ความยาว) ซึ่งต่างจาก 3 มิติ ซึ่ง 3 มิติ นั้นจะมีแกน Z (ความหนาหรือความสูง) เพิ่มเข้ามา ทำให้เราเห็นเป็นรูปร่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ส่วนรูปแบบหรือนามสกุลไฟล์ก็จะเป็น format รูปภาพทั่วๆไป เช่น .BMP, .PCX, .GIF, .JPG, .TIF, .WMF, .PNG เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้โปรแกรม Adobe Photoshop, Illustrator, Freehand, Firework, Microsoft Visio, CorelDraw, GIMP เป็นต้น
CG คืออะไร ?
CG เป็นคำสั้นๆที่คน ส่วนมากมักจะใช้เรียกถึง เป็นคำที่จะนิยมในหมู่ คนกราฟฟิค เพราะจะ ย่อมาจากคำว่า Computer-generated ซึ่งได้เริ่มตั้งแต่เมื่อปี 1973 ที่ได้มีการนำภาพจำลองมาใส่ในภาพยนต์ หรือหนัง จนกระทั่งปี 1995 (ปีเกิดผมเลย) ได้มีการสร้างหนังจากคอมพิวเตอร์ เรื่องแรกถือกำเนิดขึ้น นั้นก็คือ.....
Toy Story นั้นเอง โดยการทำได้ใช้ 3D computer graphics software มาดำเนินการสร้างหลังจากนั้นคนกลุ่มนี้ก็นิยามตนเองว่า CGI artists หรือ Computer-generated image artists ซึ้งมีการแตะแขนงมามาก เช่น
Computer Generated Pictures
Computer Generated 3D Art
Computer Generated 2D Art
เป็นต้น
ซึ้ง สิ่งที่คล้ายคลึงกันก็คือ คนกลุ่มนี้มักจะใช้ computer graphics software ต่างๆในการดำเนินการสร้าง
แล้วสรุป CG คืออะไรนะครับ
CG ก็คือ การใช้โปรแกรม computer graphics software ต่างๆ เช่น Photoshop Maya ไม่ว่าเราจะทำกับโปรแกรมใดมาบ้างกว่าจะมาเป็น ชิ้นก็ถือว่าเป็น CG เช่นกัน
เช่น สมมุติ ผมทำ ภาพมา 1 ภาพโดยการวาดด้วย Photoshop แล้วผม ก็นำไป ไปโพสโชว์ ผมก็สามารถพูดได้เลยว่านี้คือง่าน CG
คนทั่วไปก็เลยเรียกCGกับตัวหนังไปในทิศทางต่างๆ ยกตัวอย่างที่เห็นกันบ่อยๆเลย " CG สวย หนังนี้ CG ดี " ซึ้ง บางที CG ก็ไม่ใช้ คำที่เจาะจงตายตัวว่าจะหมายความว่า computer generated อาจจะเป็น
คำว่า CG ในมุมมองของนักวาด >>> ภาพที่ลงสีโดยใช้คอมพิวเตอร์
คำว่า CG ในมุมมองของเกมเมอร์ >>> ภาพเกมที่มีการใช้กราฟฟิกสวย มีความคมชัดสวยงาม
คำว่า CG ในมุมมองของคนบ้าการ์ตูนทั่วไป >>> ย่อมาจาก Code GEASS เป็นชื่อการ์ตูนเรื่องหนึ่ง
คำว่า CG ในมุมมองของโอตาคุ >>> เป็นพวกภาพที่ได้มาจากอีเวนท์ต่างๆเวลาเล่นเกมจีบสาว เกมจีบหนุ่ม เกมวาย เกมH อะไรอย่างนั้น
และอื่นๆอีกมากมาย
สรุปนี้ CG สำหรับวงการเราก็คงหมายถึง สิ่งข้างต้นที่ๆได้พูดถึง ก็อาจจะช่วยไขข้อข้องใจให้เพื่อนๆได้บ้าง ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ นะครับ กับเรื่อง CG คืออะไร ?
Toy Story นั้นเอง โดยการทำได้ใช้ 3D computer graphics software มาดำเนินการสร้างหลังจากนั้นคนกลุ่มนี้ก็นิยามตนเองว่า CGI artists หรือ Computer-generated image artists ซึ้งมีการแตะแขนงมามาก เช่น
Computer Generated Pictures
Computer Generated 3D Art
Computer Generated 2D Art
เป็นต้น
ซึ้ง สิ่งที่คล้ายคลึงกันก็คือ คนกลุ่มนี้มักจะใช้ computer graphics software ต่างๆในการดำเนินการสร้าง
แล้วสรุป CG คืออะไรนะครับ
CG ก็คือ การใช้โปรแกรม computer graphics software ต่างๆ เช่น Photoshop Maya ไม่ว่าเราจะทำกับโปรแกรมใดมาบ้างกว่าจะมาเป็น ชิ้นก็ถือว่าเป็น CG เช่นกัน
เช่น สมมุติ ผมทำ ภาพมา 1 ภาพโดยการวาดด้วย Photoshop แล้วผม ก็นำไป ไปโพสโชว์ ผมก็สามารถพูดได้เลยว่านี้คือง่าน CG
คนทั่วไปก็เลยเรียกCGกับตัวหนังไปในทิศทางต่างๆ ยกตัวอย่างที่เห็นกันบ่อยๆเลย " CG สวย หนังนี้ CG ดี " ซึ้ง บางที CG ก็ไม่ใช้ คำที่เจาะจงตายตัวว่าจะหมายความว่า computer generated อาจจะเป็น
คำว่า CG ในมุมมองของนักวาด >>> ภาพที่ลงสีโดยใช้คอมพิวเตอร์
คำว่า CG ในมุมมองของเกมเมอร์ >>> ภาพเกมที่มีการใช้กราฟฟิกสวย มีความคมชัดสวยงาม
คำว่า CG ในมุมมองของคนบ้าการ์ตูนทั่วไป >>> ย่อมาจาก Code GEASS เป็นชื่อการ์ตูนเรื่องหนึ่ง
คำว่า CG ในมุมมองของโอตาคุ >>> เป็นพวกภาพที่ได้มาจากอีเวนท์ต่างๆเวลาเล่นเกมจีบสาว เกมจีบหนุ่ม เกมวาย เกมH อะไรอย่างนั้น
และอื่นๆอีกมากมาย
สรุปนี้ CG สำหรับวงการเราก็คงหมายถึง สิ่งข้างต้นที่ๆได้พูดถึง ก็อาจจะช่วยไขข้อข้องใจให้เพื่อนๆได้บ้าง ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ นะครับ กับเรื่อง CG คืออะไร ?
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)