ทุกคนเป็นครีเอทีฟได้
มีหลายคนเข้าใจผิดว่า ผู้ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานคือ ผู้ที่ทำงานในแผนกครีเอทีฟขององค์กร ถ้าเป็นเอเยนซีโฆษณาก็ต้องเป็น Creative Director, Art director และ Copy Writer ถ้าเป็นองค์กรทั่วไปก็ต้องเป็น Designer หรือไม่ก็ฝ่ายสร้างสรรค์กิจกรรม แต่ผมอยากจะให้ทุกท่านทำความเข้าใจใหม่ว่า การมีความคิดสร้างสรรค์นั้น ควรมีในทุกหน้าที่ทุกบทบาท และทุกประเภทของธุรกิจ เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้เปรียบในการดำเนินงานและการแข่งขัน ด้วยหัวใจหลักของมันซึ่งก็คือการมี “ไอเดีย” ในทุกๆ ภารกิจ
“ครีเอทีฟ” ถ้าจะนิยามความหมายอย่างกระชับที่สุดก็คือ ไอเดีย, ความคิด, และการแสดงออกที่สดใหม่ ซึ่งลองนึกนะครับว่าหากคุณมีมันในชีวิต ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาด, นักวางแผนกลยุทธ์, นักโฆษณา, นักประชาสัมพันธ์, นักการเงิน, ฝ่ายขาย, ฝ่ายบุคคล, ฝ่ายบัญชี หรือแม้แต่ฝ่ายแม่บ้าน คุณจะพบว่ามันจะช่วยให้เรามีทางออกที่น่าสนใจ เป็นเอกลักษณ์และตอบความท้าทายได้อย่างดีเกินคาดครับ
ผมขอนำข้อเขียนที่ผมได้เขียนไว้เพื่อตีพิมพ์ลงหนังสือ “ช่างคิด” ของสมาคมผู้กำกับศิลป์บางกอก (Bangkok Art Directors’ Association) ในเล่มนี้จะประกอบด้วยแง่คิดน่าสนใจจาก ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ และนายกสมาคมหลากหลายท่าน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ และให้มุมมองดีๆ แก่นักคิดยุคใหม่ ซึ่งผมเองเคยทำหน้าที่เป็นนายกสมาคมเมื่อปี 2534 และด้วย 20 ปีของการเป็น Creative และ 10 ปี ของการเป็นคนวางแผนกลยุทธ์แบรนด์ ได้มอบประสบการณ์ บทเรียน ที่ทั้งตื่นเต้น ท้าทาย และทั้ง ปวดหัวเหน็ดเหนื่อยคลุกเคล้ากันไปตลอดเวลากับผม จนดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ ที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวบังคับให้เราจำเป็นต้องเรียนรู้การที่จะเป็นนักคิดที่ดี ซึ่งเป็นหัวใจหลักของวิชาชีพนี้
องค์ประกอบของนักคิดสร้างสรรค์
น้องๆ หลายคนถามผมว่า การที่จะเป็นนักคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสามารถคิดไอเดียคมๆ สดใหม่ได้อยู่เสมอนั้น ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ผมเองถ้าจะให้นิยามเป็นคำพูดสั้นๆ คงจะลำบาก เอาเป็นว่าจากประสบการณ์ส่วนตัว ทำให้ผมพบว่ามีบางแง่มุมที่น่าสนใจให้สังเกตอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือการมีเส้นบางๆ อยู่ระหว่างสิ่งที่แตกต่างกัน 2 สิ่งเสมอในการทำงาน หากเราไม่รู้จักมองภาพ 2 ส่วนที่ไม่เหมือนกันให้ขาด และทำความเข้าใจใน “หัวใจ” ของมันแล้ว เราอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคในการทำงาน และศัตรูของความคิด....ซึ่งก็คือตัวของเราเอง ผมถือโอกาสนี้ลองหยิบยกมุมมองที่ตนเองได้เรียนรู้และใช้ปฏิบัติมา และดูเหมือนจะได้ผลกับตัวเองมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครคิดจะลองไปใช้บ้างก็ไม่หวงห้าม แถมยินดีอย่างมากด้วยครับหากจะเป็นประโยชน์ในชีวิตไม่มากก็น้อย ข้อคิดเหล่านี้คือการเข้าใจในการแยกแยะให้ออกระหว่างสิ่งที่แตกต่างกันของ 2 สิ่งเหล่านี้
“ความคิดของฉัน” กับ “ความคิดที่ 1”
เรียกความคิดที่ตัวเองคิดได้ว่าเป็นความคิดที่ 1,ที่ 2, หรือที่ 10 แทนที่จะเรียกว่า “ความคิดของฉัน” เพื่อเป็นการป้องกัน “อัตตา” และป้องกันใจของเราที่ไม่เป็นกลางพอ ในการที่จะรับฟัง แก้ไข หรือเปลี่ยนไอเดีย ที่อาจยังไม่สมบูรณ์แบบของตนสู่ไอเดียใหม่ๆ ที่ดีกว่า
“ฟังคนอื่น” ขณะ “ฟังตัวเอง”
ฟังความคิดเห็นและมุมมองของคนอื่น กลั่นกรองไตร่ตรองให้เป็นประโยชน์ ขณะเดียวกันก็แบ่งหูอีกข้างหนึ่งฟังเสียงที่มาจากความคิดของตนเอง แล้วจะรู้ว่าหูทั้งสองข้างสอนอะไรให้กับเราได้หลายอย่าง โดยเฉพาะมุมมองดีๆ ที่เราอาจคาดไม่ถึง
“Good” ต่างกับ “Great”
แยกระหว่างไอเดียที่ดีใช้ได้ (Good) กับไอเดียที่ดีเยี่ยม (Great) และเข้าใจใช้พลังงานที่มีทุ่มเทเพื่อต่อยอดสิ่งที่ดีให้ดีที่สุด โดยพร้อมจะโยนทิ้งไอเดียที่ยังไม่ถึงที่สุดได้ทุกเมื่อ อย่างไม่เสียดาย
“ทฤษฏี” กับ “ความจริง”
ใช้ทฤษฎีเป็นแนวทางบอก “ความน่าจะใช่” “ความควรจะเป็น” ในความคิด และเชื่อมมันให้ได้กับ “ความจริง” ที่เกิดจากการปฏิบัติเพื่อเป็นคำตอบแท้จริงที่มีอิสระ มีเสน่ห์และจับต้องได้
“อารมณ์” หรือ “ตรรกะ”
ใช้อารมณ์ความรู้สึก และลางสังหรณ์จากประสบการณ์ของตนเอง มาห่อหุ้มตรรกะของความคิดให้ลงตัว เพื่อให้งานมีความเป็นธรรมชาติ มีแรงดึงดูด มีความสดใหม่แต่มีเหตุผลที่ตอบสนองความท้าทายซึ่งได้กำหนดไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น